ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คณะศรัทธาเช้า

๑๖ ก.ย. ๒๕๕๑

 

คณะศรัทธาเช้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โดยสามัญสำนึกของกิเลสนะ ไม่เชื่ออะไรเลย โดยสามัญสำนึกของกิเลส กิเลสทำให้เราไม่เชื่ออะไรเลย เพราะกิเลสมันเป็นพญามาร มารมันอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของคนเป็นบ้านของมัน มันจะปล่อยบ้านของมันไปได้อย่างไร

โดยสามัญสำนึกคนไม่เชื่อ เพราะคนเกิดมามีกิเลสหมด แต่เพราะว่าเรามีคุณสมบัติ เรามีศีล อย่างมนุษย์สมบัติ ยังมีความเชื่ออยู่ แล้วความเชื่ออย่างนี้มีอยู่ก็จริงอยู่นะ พอไปเจอพระทำตัวไม่ดีสิ มันหมดเลย ใจนี้มันถอดหมดเลย แล้วเราก็จะไปเจออย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา

ทีนี้เราจะบอกว่า โดยสามัญสำนึกเราต้องเห็นใจกัน เราต้องเห็นใจว่า อย่างทางตะวันตก มันไม่น่าเชื่อถือเพราะอะไร เพราะว่าโลกนี้พระเจ้าสร้าง ทุกอย่างนี้พระเจ้าหมดเลย เขาก็จะพูดกลับเลยว่าพระเจ้าก็อย่าทำให้กูทุกข์สิ พระเจ้าบอกเป็นการทดสอบอีกล่ะ มันยิ่งไม่มีเหตุมีผลใช่ไหม

แต่ของเรามันเป็นเรื่องกรรมทั้งหมด แล้วเราเชื่อของเรา ดูสิ โธ่! ชีวิตเรานะ พวกไอ้นี่จะรู้ดี บวชมาทั้งชีวิตเลย มีแต่คนเขาด่า ไปที่ไหนมีแต่คนไล่ ไปอยู่ที่ไหนไม่มีคนชื่นชมหรอกเรานี่ ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนด่า มีแต่คนโจมตี มีแต่คนทำลาย

แต่นี่พอถึงเวลาก็ย้อนกลับมาที่เรา เราบอกว่าเราพอใจ เราพอใจเพราะอะไร เพราะว่ากรรมมันอยู่ที่เรากระทำ เพราะเราทำอย่างนี้ เรายืนอยู่ในหลักใช่ไหม เราอยู่กับธรรมวินัย เราไม่โอนเอนตามใครเลย ไปไหนเขาก็เกลียด ไม่มีใครเขาชอบหรอก คนที่ไปแข็งขืนกับคนอื่นไม่มีใครเขาชอบหรอก แต่ถ้าเราอ่อนผ่อนปรนไปกับเขา เขาจะต้องการอะไร เราจะผ่อนไปกับเขานะ เขาจะไม่เกลียดเราหรอก แล้วสังคมมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ

แต่ของเราถ้าผิดนะ นิสัย มันพูดผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่มีลูบหน้าปะจมูก จมูกใครมาขาดหมด มาหากูนี่ มึงผิดมา กูฟันขาดหมด ฉะนั้น ทำให้คนเขาไม่ชอบใจ ไอ้ไม่ชอบใจตรงนี้มันแบบว่าเรามีพื้นมีฐานแล้ว แต่เมื่อก่อนมาใหม่ๆ ก็นั่นน่ะ โธ่! ในปัจจุบัน ฉันอย่างนี้ แถวนี้เขามาเขายังตกใจเลย เฮ้ย! นี่มันย้อนยุคเว้ย เฮ้ย! นี่มันย้อนยุค เขาไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่ไอ้นี่มันพื้นฐาน ไอ้นี่ของชีวิตประจำวัน แล้วยิ่งอย่างพูดเมื่อเช้า ทิฏฐิด้วย การปฏิบัติด้วย โธ่! ไร้สาระอย่ามาคุย แหกตาทั้งนั้น แหกตาเพราะอะไร เพราะกูรู้ว่าแหกตาไง แต่พวกมึงกูไม่รู้ ไม่รู้เพราะอะไร เพราะมึงโดนแหกไง

มันเป็นสามัญสำนึก เราไม่ต้องไปน้อยใจหรอก อย่างนี้กลับดี ถ้าเขาไม่บอกเรา เขาเก็บไว้ใจนะ เราจะไม่รู้อะไรเลย แล้วเราก็พาเขาไปนะ เป็นกรรมด้วย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะลูกมันจะสบประมาทพ่อแม่มัน พ่อแม่กูนี่ โทษนะ โง่ฉิบหายเลย ไปให้คนหลอก คนไหว้คนทำไม เราไปไหว้ทำไม เราก็คน เขาก็คน ไหว้ทำไม แล้วชาวบ้านเขาบอก “พระไม่มี มีแต่มนุษย์หัวโล้นห่มผ้าเหลือง” นี่เขาไปมอง ที่เราพูดไง หลวงปู่พรหมน่ะ หลวงปู่พรหมออกปฏิบัติครั้งแรกไปเจอหลวงปู่มั่น “โอ้โฮ! หลวงปู่มั่น ชื่อเสียงล่ำลือทั่วประเทศไทย ตัวเล็กๆ ขนาดนี้ ตัวเล็กๆ คนจะเชื่อถืออย่างไร”

หลวงปู่มั่นรู้วาระจิตนะ หลวงปู่มั่นใส่เลย “อย่ามองคนที่รูปร่าง มองคนให้มองจากข้างใน อย่ามองที่รูปร่าง”

โอ้โฮ! ช็อกเลย เพราะหลวงปู่พรหมเป็นเศรษฐี เขาเรียกนายร้อย นายร้อย หมายถึงว่า มีสมบัติมาก แล้วสองคนตายายไม่มีลูก เป็นเศรษฐีมาเก่า เพราะฉะนั้นตกลงกันว่าระหว่างภรรยากับท่านจะออกบวชด้วยกันทั้งคู่ สมบัติแจก ๗ วันไม่หมด ที่บ้านท่านน่ะ สมบัตินี่นะ เบิกออกมาหมด แล้วแจกชาวบ้าน ให้เข้าแถว แจก ๗ วันไม่หมด คือจะบอกว่าสถานะทางสังคมท่านเคยสูงมาก่อน ท่านเคยเป็นผู้นำมาก่อน ท่านเป็นเศรษฐีมา แล้วท่านสละของท่านมา แล้วมาบวช คนทิฏฐิมันต้องมีเป็นธรรมดา แล้วได้ยินชื่อเสียงหลวงปู่มั่นมาแต่ดึกดำบรรพ์ พอไปเจอหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ครั้งแรก “โอ้โฮ! ชื่อเสียงคับประเทศไทย ตัวนิดเดียว ตัวไม่ใหญ่ คนอย่างนี้หรือ ทำไมคนเขาศรัทธาขนาดนั้น”

พอท่านเข้าไปกราบ โดนปั๋งเลย “มองคนอย่ามองที่รูปร่าง มองคนอย่ามองที่รูปร่างสัณฐาน มองคนไม่รู้วาระจิตหรอก”

นั่นน่ะ สอนจนหลวงปู่พรหมสำเร็จที่เชียงใหม่ หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลายองค์สำเร็จที่เชียงใหม่

โยม ๑ : หลวงปู่เจี๊ยะล่ะคะ สำเร็จที่ไหน

หลวงพ่อ : เมืองจันท์ กลับมาสำเร็จที่ตราด

โยม ๑ : ตอนอยู่กับหลวงปู่มั่น

หลวงพ่อ : ยังไม่ถึง ท่านเล่าว่าท่านมาได้ที่ภูเขาอะไรจำไม่ได้ เขาที่ตราด เขาอะไรนี่

เพราะว่าอย่างเรา ตรงนี้พูดถึง อย่างพระพุทธเจ้าสำเร็จที่โคนต้นโพธิ์ ทำไมพระพุทธเจ้ารู้ล่ะ ถ้าคนที่เป็นจริงเขาจะรู้ว่าเราเกิดที่ไหน เดี๋ยวนี้เกิดที่โรงพยาบาลศิริราชหมดเลย เกิดในห้องนั้นล่ะ ห้องผ่าตัดนั่นน่ะ ทุกคนเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดที่ไหนคือเราบรรลุที่ไหนมันจะรู้หมด ได้ตรงนี้ ที่นี่ เหมือนเราพายเรือจอดที่ไหนๆๆ เหมือนกับจิตมันสำเร็จที่ไหนๆๆ ตรงนี้สำคัญมากเลย สมมุติถ้าเราไม่รู้ปั๊บ เหมือนเราไม่รู้ที่เกิด เราไม่รู้อะไรเลย กูลอยมา กูลอยมานี่กูไม่รู้หรอก

นี่การปฏิบัติไง ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีขณะจิตที่เป็นนะ อย่ามาคุย เราไม่ใช่ลอยมานะ เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดที่บ้านเลขที่เท่านั้น เกิดที่นั่นๆ ดูพระสารีบุตรสิ พระสารีบุตรเสียใจมาก แม่นะ ลูกของแม่เป็นพระอรหันต์ตั้ง ๗-๘ องค์ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เอ๊! ทำอย่างไรจะแก้แม่ได้ๆ ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าจะแก้ได้ สุดท้ายนั่งพิจารณาของตัวเอง ตัวเองต้องแก้แม่ไง พอแก้แม่ พอวันจะตาย มันหมดอายุจะตายแล้ว ก็ไปลาพระพุทธเจ้าก่อน ลาเสร็จ ก็ว่าจะไปตายที่ไหน จะไปตายที่แม่ จะไปแก้แม่ด้วย ไปตายที่ห้องเกิดไง ห้องที่เกิดน่ะ ไปตายในที่บ้านที่แม่คลอดนั่นน่ะ

พอเดินเข้ามา แม่เห็น เพราะแม่เป็นเศรษฐี แล้วก็เสียใจมาก มันทิฏฐิว่าลูกของตัวเองไปบวชหมด เป็นพราหมณ์ไง แล้วลูกไปบวชหมดเลย ก็ยิ่งต่อต้าน มันยิ่งเกิดทิฏฐิ ทีนี้พอเห็นลูกเดินมา “อ๋อ! ลูกเราไปบวชตั้งแต่หนุ่มจนแก่ สงสัยรู้ความผิดแล้วจะกลับมาสึก” เห็นลูกชายเดินมายังคิดอย่างนั้นนะ ลูกชายก็ไม่รู้ ไม่สนใจ ก็เข้าไป ก็เป็นโรคท้องร่วง ก็เข้าไปอยู่ในห้อง พอท้องร่วง อัครสาวก พอเริ่มท้องร่วงใช่ไหม พอเริ่มสักเที่ยงคืน มันมีเทวดาลงมาอุปัฏฐาก เทวดามาเป็นแสงพุ่งเข้ามาเลย พุ่งเข้ามาในห้องไง ให้เห็นนะ

เอ๊ะ! เข้าไปดู ใครมา ก็ยังไม่ลงนะ

พอใกล้ๆ สว่าง พรหมมา พรหมเข้ามาอุปัฏฐากไง พอพรหมมาก็เป็นลำแสงพุ่งเข้ามาในบ้านอีกแล้ว ทีนี้พุ่งเข้ามาในบ้านนะ แม่พระสารีบุตรก็ตามเข้าไปดูในห้องไง “ใครมาน่ะลูก”

“พรหมมา” พระพรหมจะมาอุปัฏฐาก จะมารักษา มาช่วยพระสารีบุตร ก็เข้ามาจะอุปัฏฐากว่า “เป็นอะไรๆ” พระสารีบุตรบอก “ไม่ใช่ มันเป็นโรคประจำตัว”

ทีนี้พอเข้ามา “ใครมา”

“พรหมมา”

พรหมนี้พวกฮินดูเขาเคารพมากไง เขาเคารพพรหมมากเลย แต่พรหมนี่แค่เด็กรับบาตรพระพุทธเจ้าไง พอบอกพรหมมาเท่านั้นน่ะ จิตมันก็เริ่ม เอ๊ะ! ลูกเราสำคัญขนาดนี้เชียวหรือ

พอเทวดามา โอ้โฮ! เขาเคารพเทวดา เขาเคารพ อินทร์ พรหมทั้งนั้นน่ะ โอ้โฮ! ลูกเรานี่ขนาดเขากราบไหว้อยู่ ไอ้คนที่กูกราบไหว้อยู่มาอุปัฏฐากลูกชาย จิตมันก็เริ่มอ่อนตัวลง พออ่อนตัวลง พระสารีบุตรเทศน์เลย บอก “แม่ ไอ้พวกนี้นะ ไอ้พวกพรหม พรหมา จ โลกา พรหมมานิมนต์ให้พระพุทธเจ้าเทศน์เท่านั้นน่ะ เป็นคนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเท่านั้นน่ะ” พอพูดอย่างนั้นปั๊บ แม่ก็เริ่มฟังไง ก็เทศน์เลย เทศน์แบบว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณของพระพุทธเจ้า แม่สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

ฟังนะ เวลาจิตมันพลิกนะ สำคัญตรงนี้ พอจิตมันพลิก ร้องไห้ใหญ่เลย “ลูกไม่รักแม่ ลูกไม่รักแม่ ถ้าลูกรักแม่ ลูกต้องสอนแม่มานานแล้ว”

เมื่อกี้ยังว่าเลยว่าจะมาสึกอยู่ พอจิตมันพลิก เห็นไหม ต่อว่าลูกชายนะ “ลูกไม่รักแม่ ลูกไม่รักแม่ ถ้าลูกรักแม่ ลูกต้องสอนแม่มานานแล้ว” เพราะพอเป็นโสดาบัน จิตมันยอมรับแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นน่ะทิฏฐิ

แล้วย้อนกลับมาที่โลกที่เขามองศาสนาสิ แล้วมนุษย์มาไหว้มนุษย์ทำไม คนมาไหว้คนทำไม คนมาไหว้คนเพราะถ้าได้คุยกัน ต้องคุยกัน ธรรมะออกจากการแสดงออก ธรรมะถ้าไม่แสดงออกจะไม่รู้ว่ามีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ คนเหมือนคน ความคิดเราไม่รู้หรอก แต่เวลาแสดงออกมาถ้าไม่มีนะ พูดออกมาโกหกทั้งหมด ถ้าคนไม่มีธรรม เสียงพูดออกมาเป็นเสียงโกหก เสียงพูด แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีธรรมพูดออกมา ธรรมะมันออกมากับพร้อมกับเสียงพูด มันไม่ใช่เสียงเฉยๆ ไง

เหมือนกับแกงจืดรสชาติจืดชืดเลย ไอ้นี่มันต้มยำ มันไม่ใช่แกงจืด มันมีรสมีชาติ มันเป็นต้มยำ โอ้โฮ! เผ็ดอีกด้วย เสียงมันมีเนื้อหาสาระ ไม่ใช่เสียงเปล่าๆ ไง ธรรมะเขาวัดกันตรงนี้ ครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพกัน ที่ว่ามนุษย์ทำไมต้องไหว้มนุษย์ หลวงตาท่านด่าเจ็บนะ อยู่กับท่านน่ะ ถ้าเราไม่มีดี เขาจะไหว้เราทำไม ทำไมเขาไม่ไหว้ตัวเขา

เราจะไปไหว้คนทำไม เราก็ไหว้เราสิ กูไหว้มึงนะ กูไหว้มึง กูไม่ยอมไหว้คนอื่นหรอก แต่เพราะเขามีคุณธรรม เราเคารพกันตรงนั้น ครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพกัน เขาเคารพที่คุณธรรมนี่ เพราะมันรู้ มันรู้โดยสามัญสำนึกนะ คนมันขลุกกันเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี มันจะรู้ว่าแสดงออกมามันจะเป็นอย่างไร มันไม่ใช่เจอกันวันสองวันหรอก

เราบอกโยมนี่โดนหลอกง่ายๆ เลย มาไม่ถึงชั่วโมงก็กลับแล้ว อีก ๒๔ ชั่วโมง กูทำอะไรก็ได้ แต่พระมันอยู่ด้วยกันเป็นสิบๆ ปี เหมือนพ่อแม่กับลูกขลุกกันมาทั้งชีวิต จะรู้เลย แม่เลี้ยงลูกมา ลูกคนไหนนิสัยอย่างไร แม่รู้หมดล่ะ เพราะแม่เลี้ยงมา ครูบาอาจารย์ที่อยู่ด้วยกันสิบๆ ปีจะรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้เป็นอย่างไรๆ นี่ไง พระเขายอมรับความจริงตรงนี้ไง

จริงๆ นะ โดยสามัญสำนึกนะ ทุกคนก็ไม่เชื่อหรอก แหม! ใครมันจะเชื่อวะ ถ้าเชื่อว่ากูไม่ใช่สุภาพบุรุษ กูไม่ใช่ปัญญาชน ปัญญาชนขวิดเลย

โยม ๑ : ตอนหลวงพ่อไปเฝ้าหลวงปู่เจี๊ยะ ตอนท่านแก่แล้ว

หลวงพ่อ : ไม่ ยัง

โยม ๑ : พบยากไหม

หลวงพ่อ :ไม่ยาก

โยม ๑ : หลวงปู่เจี๊ยะเล่าตอนที่ดูแลหลวงปู่มั่นนี่ดุมาก

หลวงพ่อ : มันเป็นอย่างนี้นะ อย่างเราคิดมุมกลับ ไม่มีใครคิดมุมกลับแบบเรา หลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตา บอกวันๆ หนึ่ง เราไม่มีเวลาเลย ท่านต้องรับสิ่งที่พวกเรามองไม่เห็นน่ะ ทีนี้ท่านต้องรับพวกเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ท่านเยอะมาก ทีนี้ท่านทำงานอยู่ตลอดเวลา แล้วเราเข้ามามันไปแย่งเวลา ทีนี้คำว่า “พบยากๆ” เราก็ไปคิด เราก็ไปมองแต่ว่า เอ๊! ก็นั่งเฉยๆ ก็ไม่เห็นทำอะไร ก็นั่งเฉยๆ ท่านบอกว่ากูไม่มีเวลาว่างเลยนะ

ทีนี้พอเราไป เพราะหลวงตาท่านก็พูดอยู่ ถ้าโยมมานะ บางทีท่านลุกหนีเลย ท่านให้หลวงตารับ แต่ถ้าเรื่องอย่างนั้นน่ะ ถ้าจิตเราไม่สูงพอ ไม่มีใครทำงานแทนได้ไง เวลาเทศน์ของท่าน เวลาครูบาอาจารย์เทศน์ มันไม่มีใครทำแทนได้หรอก แต่งานต้อนรับ งานการบริหารจัดการ ใครก็ทำได้ แต่งานแสดงธรรมงานแสดงออกมันไม่มี มันแสดงออกไม่ได้ ฉะนั้น เป็นงานเฉพาะคนที่จะทำ

ฉะนั้น ไอ้เรื่องยากนะ ยาก เวลาของท่าน เรายังคิดมุมกลับเลย ท่านยังบอกว่าท่านควรจะทำประโยชน์กับโลกให้มากไง ฉะนั้น เวลาของท่านทุกวินาทีมันมีคุณค่ามากที่ท่านจะใช้ประโยชน์ แล้วถ้ามาฟังธรรมอย่างนี้ก็ยังค่อยยังชั่ว มันมาแบบไอ้ซุงทั้งท่อนน่ะ คือมาด้วยว่ากูแน่ กูทิฏฐิน่ะ โอ้โฮ! เสียเวลาฉิบหายเลย พูดทีหนึ่ง ๕ ชั่วโมงยังเถียง

โยม ๒ : หลวงพ่อ มันมีเรื่องหนึ่งที่สนธิ ลิ้มทองกุล ตอนนั้นว่าก่อนที่ไปบวชที่วัดบ้านตาด ก็มาบวชที่หลวงพ่อ ออกทีวีท่านพูดบ่นๆ

หลวงพ่อ : เพราะสนธิเขาเป็นคนดี ดีมากๆ เลย ทีนี้เขาแบบว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษไง คือว่าถ้าไปบวชที่ไหนก็กลัวจะทำให้ที่นั่นเดือดร้อนไง เขาจะบวชวัดชนะสงครามใช่ใหม แต่หลวงตาท่านเมตตาไง ท่านถึงดึงไปบวชที่วัดป่าบ้านตาด เขาก็เคยบอกเรา เขาพูดกับเราเองว่าจะบวชที่นี่

โยม ๒ : เขาประกาศบนเวทีเลย

หลวงพ่อ : เขาคุยกับเรา เขาคุยกับเราเลยว่าเขาจะบวชที่เรา แต่เราก็คิดอย่างนี้ เราคิดเอาเองนะ ถ้าสนธิจะมาบวชกับเรา เรารับเต็มที่เลย เราสุภาพบุรุษมาก

โยม ๒ : เรื่องความปลอดภัย

หลวงพ่อ : ใช่ แต่อยู่ที่ตัวเขา อยู่ที่ตัวเขาจะบวชที่ไหน แล้วเขาเชื่อใคร เคารพศรัทธาใคร เพราะว่าคนเข้าไปหาเขาเยอะแยะ เพราะเราไปเจอเขาที่บ้านพระอาทิตย์ ที่ไปทำบุญ เราก็ไป เราไปฉันที่นั่นน่ะ เขาบอกพระอะไรอย่าเอามาให้เราเลย เพราะพระเขานี่นะ พวกปลัดขิกเขาแขวนรอบเอวไว้หมดเลย เพราะทุกคนน่ะ เพราะบางคนที่เขาเห็นด้วยใช่ไหม เขาก็อยากจะช่วยเหลือไง ทุกคนก็เอาไปให้เขาๆ จนเป็นเข่งๆ น่ะ

จะบอกว่าทางเลือกเขาเยอะมาก เพราะพระคนใดก็อยากไปหาเขา อยากจะสัมพันธ์กับเขา เราถึงเปิดให้ เขาจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่กรณีหลวงตา ที่ไปบวชนี่ถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุดเพราะอะไร เพราะเขาจะไปบวชวัดชนะสงคราม ทางโน้นยังพยายามแบบว่าต่อต้านใช่ไหม แล้วจะทำที่ไหนก็มีปัญหาหมด หลวงตาท่านรู้ เพราะหลวงตาท่านรู้ถึงข้างนอก รู้ถึงข้างใน ท่านถึงเอาไปบวชที่วัดท่าน เพราะท่านดูแลของท่านได้ ถ้าไปบวชอยู่ที่อื่นนะ จะโดนรังแกไปเรื่อยๆ คือว่าฝ่ายตรงข้ามเขาจะมาต่อล้อต่อเถียง เขาจะมา

ธรรมดาน่ะ มวลชนฝ่ายตรงข้ามเขาต้องมาให้มีปัญหาไง แล้วอย่างพวกเรา พาวเวอร์เราแค่ไหน แต่หลวงตาท่านน่ะนะ สังคมไทยทั้งสังคมยอมรับ ฉะนั้น วัดป่าบ้านตาด ถ้าท่านจะไม่ให้เข้า จะเข้าไปไม่ได้หรอก เพราะมันมีพวก ตชด. พวกอะไรดูแลกันอยู่ อย่างพวกเรามีอะไร กูก็มีแต่ไอ้เสือนี่

หลวงตาท่านพูด ท่านคิดถูกไง คิดถูกว่าคนอย่างสนธิเขาสร้างประโยชน์กับโลก มันก็ต้องมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเยอะมาก ทีนี้ฝ่ายที่เห็นด้วยเขาจะปกป้องกันอย่างไร นี่คนที่เป็นผู้ใหญ่เขาจะมองตรงนี้ ผู้นำไง การรักษาผู้นำ การปกป้องผู้นำ ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก เราปล่อยให้ผู้นำตาย แล้วใครจะนำกันวะ

ไอ้อย่างพวกเราก็ เออ! ผู้นำเราก็เก่งแล้ว ไอ้พวกเราก็คอยตามสิ ผู้นำไปตายยังไม่รู้ตัวเลย แต่ท่านเอาไปกลบไว้ ท่านพูดบ่อยนะ ทองก้อนบอกเลย ถ้าหลวงตาไม่บอกให้ทักษิณไม่ให้ขึ้นเครื่องบินนะ วันนั้นทักษิณตายแล้ว แล้วตอนสนธิ ท่านสั่งเลย หลวงตาสั่งบอก เดี๋ยวนี้ สนธิต้องเข้าวัดป่าบ้านตาด เข้าไปวันนั้นน่ะ ถ้าวันนั้นสนธิไม่เข้าไปวัดป่าบ้านตาด สนธิก็เรียบร้อยไปแล้ว พอเข้าไปถึงวัดป่าบ้านตาดแล้ว ท่านสั่งเลยหลวงตาน่ะ “เข้ามา เข้ามาเลย” เพราะท่านตั้งไว้เลยกี่ชั้น “เข้ามาเลย” เข้าไปสิ เพราะเราอยู่ที่นั่นด้วย พอเราได้ข่าวปุ๊บ เราก็ไปที่นั่นด้วย วันนั้นเราก็อยู่ที่นั่นด้วย ไอ้จัดรายการเมืองไทย เราก็นั่งอยู่นั่นน่ะ

เราคิดย้อนกลับสิว่าท่านตัดสินใจอะไรแล้ว แล้วท่านทำอะไร ผู้นำท่านจะตัดสินใจตอนวิกฤติ ผู้นำท่านจะมานำเราต่อเมื่อเราวิกฤติ ผู้นำไม่ใช่ว่าจะมานำกันทุกวันหรอก เอ็งทำมากินกันสิ เอ็งก็อยู่กันไป เอ็งเอาตัวรอดก็อยู่ไป แต่ถ้าเป็นอะไรที่วิกฤติที่พวกเอ็งทำกันไม่ได้หรือพวกเอ็งไปไม่รอด กูก็ลงมาช่วยมึงสักทีหนึ่ง กูก็ลงมาช่วยมึงสักทีหนึ่ง อย่าพร่ำเพรื่อ ไม่ทำอะไรพร่ำเพรื่อ ไม่ทำอะไรแบบว่าประเจิดประเจ้อไง

เพราะกรณีอย่างนี้ เขามาถามบ่อย บอกว่าสนธิพูดบนเวทีบ่อยบอกว่า ทักษิณมันได้เป็นนายกก็เพราะว่าปู่ของทักษิณอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น

บอก เฮ้ย! ไปฟังใครมาก็ไม่รู้ อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมันได้บุญทั้งนั้นน่ะ เราบอกถ้าอย่างนั้นนะ โยมนุ่นๆ โยมนุ่นที่อยู่ที่สกลนครอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมาตลอดชีวิตเลย แล้วลูกหลานโยมนุ่นต้องเป็นนายกหมดเลย กูไม่เห็นลูกหลานโยมนุ่นได้เป็นนายกสักคนหนึ่งวะ

อุปัฏฐากได้บุญก็ต้องได้บุญสิ แต่มันเป็นวาสนาของคน เป็นการที่ขวยขวายของคนเนาะ โยมอุปัฏฐากเขาเยอะไป ทำไมพ่อทักษิณอุปัฏฐากแล้วเป็นนายก แล้วคนอื่นที่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมา กูไม่เห็นได้เป็นนายกสักคนวะ

เขาไปพูดอะไรบางอย่างมันไม่รอบ เราพูดอะไรไปโดยความเห็นของเรามันมีข้อโต้แย้ง แล้วธรรมะมันต้องละเอียดรอบคอบ ถ้าไม่ละเอียดรอบคอบ พูดไปนี่มันเป็นเรื่องโลกๆ เรายังไม่เห็นเขา แล้วมีคนมาถามเรามากเลยว่าเขาไปพูดบนเวที เราไม่อยากให้พูดอย่างนั้น บางอย่างพูดอะไรแล้วถ้าเป็นเงื่อนตายผูก แก้ไม่ได้ พูดมัดตัวเอง พูดมัดตัวเองไม่ดี

แต่ถ้าพูดของเรา พูดอะไรมันประสาธรรม อย่างที่พูดเมื่อกี้ตอนเช้า มันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มีละเอียดสุด คือมันพัฒนา มันเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น เราไปพูดให้มันตายตัว แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้อย่างไร

เราพูดอย่างนี้ ใช่ อย่างนี้ใช่ไหม ใช่ ทำบุญได้บุญ ใช่ แต่บุญที่มันละเอียดกว่านี้ยังมี ความดีกว่านี้ยังมี มี เห็นไหม เราพูดตายตัวไม่ได้ เพราะโลกนี้เป็นโลกอนิจจัง มันพัฒนาได้ไง คือเราจะดีกว่านี้ยังได้อีก ไม่ใช่มันมีแค่นี้ แล้วความดีที่เราคิดว่าเป็นอย่างนี้จริง มันจริงหรือเปล่า แล้วจริงก็อย่างที่ว่าน่ะ โธ่! ที่เขาชมหลวงตา เห็นไหม วันนั้นน่ะ หลวงตาไปนครนายกไง มันแล้งไง แล้วฝนตกเยอะแยะเลย เขาไปชมใหญ่เลย โอ้โฮ! หลวงตามา ชาวบ้านเขาดีใจมากเลย ฝนฟ้ามันตก เขาทำนากันได้เลย

หลวงตาถามกลับไปว่าอะไรรู้ไหม “เราไปกันอีกไหม” ท่านพูด “เราไปกันอีกไหม” คือไปให้ฝนตกอีก

ไอ้คนพูดใบ้ขี้เลย

โอ๋ย! หลวงตามา ฝนฟ้ามันตก โอ๋ย! น้ำท่วมทุ่งเลย ดีอย่างนู้น ดีอย่างไร หลวงตาก็นั่งฟังเฉยเลยนะ พอจะจบ “เราไปกันอีกไหม”

คือท่านไม่ตื่นเต้น เห็นไหม ท่านไม่กินลูกยอ ไอ้พวกเราใครมายอเข้าล่ะ แหม! ลอยเลยนะ ไอ้นี่มันพูดชมจนจบเลยนะ

“เราไปกันอีกไหม”

คือท่านไม่ให้ติด ไม่ให้ติด ไม่ให้ยึด ไอ้ตรงนี้ เราเห็นนะ ของท่านสุดยอดมาก ท่านถึงเวลาท่านจะทำของท่าน ท่านจะทำของท่าน ถ้าพูดถึงเป็นธรรมะมันจะมองรอบไง มันจะมองรอบ เหมือนเราคุยกับเด็ก เด็กมันควรจะพัฒนาอย่างไร เราคุยกับผู้ใหญ่ คุยกับนักปฏิบัติ คุยกับคนปฏิบัติที่มีเหตุมีผล ธรรมะไม่เหมือนกันนะ เอาตำราดอกเตอร์ไปให้เด็กมันอ่าน ก.ไก่ มันฝึก ตายห่าเลย ไอ้ดอกเตอร์มันเรียน ก.ไก่มาก่อนนะ มึงไม่เรียน ก.ไก่มา มึงไม่ได้เป็นดอกเตอร์หรอก ดอกเตอร์ทุกคนต้องเรียนอนุบาลมา แต่ขณะที่เรียนอนุบาลคืออนุบาล ขณะที่เรียนประถม เรียนมัธยม มันเรียนอุดมศึกษา มันเรียนปริญญาขึ้นไป มันต่างกันหมด วุฒิภาวะจิตมันจะพัฒนาต่างกันไป แล้วเวลาพูดธรรมะนะ “โอ้โฮ! กูนี่ดอกเตอร์เว้ย นิพพานๆ”...ไม่รู้พานอะไรของมึง

โยม ๒ : หลวงพ่อ ทั้งที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงตา ทุกๆ คน หลายๆ คน บางคนก็เรียนรู้มา รับมาเท่ากัน แต่เวลาไปปฏิบัติ เห็นแก่ตัวกับเห็นแก่ธาตุ มันต่างกัน

หลวงพ่อ : ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นหมื่นเลย หลวงตาบอกลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นแสน เหลือมา ๒๐-๓๐ องค์ ลูกศิษย์หลวงตาเราว่าหลายแสน เราดูด้วยสายตา เราพยายามเข้าไปดู เราก็ว่ามันเหลือไม่เท่าไร นี่พูดถึงเข้มข้นเลยนะ พูดถึงพระที่ปฏิบัติกันเลย แล้วพวกโยม โยม ประสาเรา ทั้งประเทศ ลูกศิษย์หลวงตาหมดล่ะ อันนี้มันอยู่ที่เราน่ะ มันอยู่ที่เราว่าเราจะเข้มข้นแค่ไหน เราจะมั่นใจแค่ไหน

ถ้าอย่างของเราปฏิบัติ จริงๆ นะ เราคิดของเราตลอดเวลา การปฏิบัตินี่ทุกข์มาก เดินจงกรม นั่งสมาธิเอาเต็มที่ ทุกข์มากเลย แต่เราทุกข์ทีไรก็บอกว่าเราไม่ได้ขี้ตีนหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นทำมากกว่านี้ เราไม่ได้ขี้ตีนพระพุทธเจ้า พออย่างนั้นมันก็ฮึกเหิมนะ มันก็มีกำลังขึ้นมาเวลาทำ แล้วมันมีอะไรที่มันมั่นใจมาก

แปลกนะ หลวงตาท่านบอกเลย ถ้าพูดผิด เราจะพาพวกลูกศิษย์ไปประท้วงพระพุทธเจ้า แต่สำหรับเรา เวลาเราคิดไม่คิดอย่างนั้น เราจะคิดว่าเราจะจับโกหกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าทำต่อเนื่อง ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยต้องอนาคามี ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างที่เราพูดที่ว่าเราไปไหน

โยม ๓ : ไม่เข้าใจ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าบอกถ้าปฏิบัติต่อเนื่องนี่นะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ต้องสำเร็จแน่นอน

โยม ๓ : โอ้โฮ! ยากเลยครับ

หลวงพ่อ : เราพิสูจน์เลย

โยม ๒ : บางคน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

หลวงพ่อ : แล้วเราก็ทำของเราไปเรื่อยๆ กูจะดูซิพระพุทธเจ้าโกหก นี่ไง เราจับโกหกพระพุทธเจ้าไง เหมือนที่ว่าพระพุทธเจ้าบอกทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำที่ว่าเราไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนด่า ไอ้โตนี้รู้ดี อยู่โพธาราม บิณฑบาต พระถุยน้ำลายใส่เลย พระเดินสวนกัน ถุยน้ำลายใส่เราเลย ไปบิณฑบาต เอาขี้ปาด้วย ไอ้พวกนี้ เอ็งถามสิ นี่นั่งอยู่น่ะ แล้วทำดีทำไมโดนอย่างนี้วะ

ทำดีต้องได้ดี แต่เราทำนะ เราถือว่าเราทำดี แล้ว โอ้โฮ! แรงตอบสนองมานี่สุดๆ เลย เขาจะฆ่าทิ้งนะ เขาเอารถสิบล้อกวาดทิ้งเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเหมือนกับประสาเราว่า เราต้องพิสูจน์ว่าทำดีคือดีไง ทำดีคือทำตามตำราพระพุทธเจ้านี่เรียกว่าดี แต่พระที่เขาอยู่ด้วยกันเขาไม่ทำ เมื่อก่อนโพธารามบิณฑบาต ตี ๔ ตี ๕ ใช่ไหม พอเรามาปั๊บ เราบิณฑบาตตอนสายๆ พระดึงสังคมทั้งสังคมลงมาเลย พระต้องบิณฑบาตสายด้วยกันเลย

แต่เดิม ก่อนที่เรายังอยู่โพธาราม พระเขาจะบิณฑบาต ตี ๔ เขากลับวัดแล้ว กูยังไม่ได้อรุณ กูยังไม่ได้ไป

โยม ๓ : บิณฯ เร็วจังครับ

หลวงพ่อ : เมื่อก่อนสังคมในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน

โยม ๓ : จริงหรือครับ

หลวงพ่อ : โธ่!

โยม ๓ : ตี ๔ ตี ๕ ใครจะมาใส่บาตร

หลวงพ่อ : ตี ๔ ตี ๕ เขากลับวัดแล้ว เอ็งไปสาย เอ็งไม่ได้กิน

โยม ๓ : ผมเพิ่งจะรู้

หลวงพ่อ : แล้วพอเรามาอยู่ไง เราต้องพระอาทิตย์ขึ้นก่อนแล้วเราค่อยออกไง

โยม ๓ : ครับ ต้องดูลายมือใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : เออ! นั่นน่ะ เราไปอยู่ที่นั่นจนสังคมทั้งสังคมดึงให้มันกลับมาอยู่ในกรอบของธรรมวินัย โอ้โฮ! เราเองเราว่าเราทำขนาดนั้น แต่ธรรมดาสังคม เอ็งคิดดูซิว่าเอ็งไปต่อต้านเขาทั้งสังคมเลย ทุกตีนก็ลงมานี่หมดไง ทุกตีนเลย ทุกตีนก็ลงมานี่หมดเลย

โยม ๑ : หลวงพ่อ ยังติดใจไอ้ ๗ เดือน ๗ ปี ๗ วันนี่มันเป็นอย่างไรหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าพูดไว้

โยม ๑ : มีไหม ๗ วัน

หลวงพ่อ : มี เพราะนั่งทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย พระพุทธเจ้าเทศน์ปั๊บ พระอรหันต์เลย มี พระพุทธเจ้าแสดงธรรมปั๊บ สำเร็จกันเป็นแสนเลย ไม่ใช่ ๗ วันนะ ขณะนั้นเลย สมัยพุทธกาลน่ะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าผู้ปฏิบัติต่อเนื่อง ๗ วันเป็นพระอรหันต์ ๗ เดือนเป็นพระอรหันต์ ๗ ปีเป็นพระอรหันต์

ไอ้คำนี้มันมาฝังใจตลอด แหม! ๗ ปี ทำไมกูจะทนไม่ได้วะ กูก็ใส่อยู่อย่างนั้นน่ะ

โยม ๑ : เดินจนเป็นหุ่น

หลวงพ่อ : เดินจนหินเป็นร่อง หินนี่เป็นร่องเลย ซัดอยู่อย่างนั้นน่ะ ทั้งวันทั้งคืนๆ ทำอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ต้องให้มันเข้าที่ด้วย เพราะมีครูบาอาจารย์คอยเช็คไง ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

โยม ๑ : หลวงพ่อ ให้หายก่อน จะเอาบ้าง

หลวงพ่อ : เพราะนี่พระพุทธเจ้าพูดไว้เอง แล้วพูดถึงเราจับผิดไง คำว่า “จับโกหก” เลย หลวงตาพูดไง ถ้าเราปฏิบัตินะ ถ้าผิด เราจะพาไปประท้วงพระพุทธเจ้า แต่สำหรับเรา กูจับผิดพระพุทธเจ้าเลยล่ะ พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้ ถ้าทำแล้วไม่ได้จริง ลองเลยล่ะ ไอ้อย่างที่ว่าทำดีๆ เรายืนยันมาก ทำดีต้องได้ดี

ทีนี้ย้อนกลับมาโยมไง ทุกคนบอกเลย ทำดีทุกคน แล้วไม่เห็นได้ดีสักคน พระพุทธเจ้าโกหก แล้วทำดีไม่จริงนี่หว่า โจรมันจะปล้นกันนะ มันปรึกษากันว่ามันจะไปปล้น ไปบอกมันทำดี มันก็ยิงมึงทิ้งน่ะสิ ไปรู้ความลับมันน่ะ

ทำดีมันมีกาลเทศะ ทำกับใคร โจรเขาวางแผนกันจะปล้นใช่ไหม ไปบอกเขาไม่ให้ปล้น ไปบอกเขานะ เขาก็ยิงหัวมึงก่อน เพราะเดี๋ยวมึงบอกตำรวจ

โยม ๓ : แต่เดี๋ยวนี้พูดยาก คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง

หลวงพ่อ : นั่น! ทำดีกับใคร ทำดีต้องมีกาลมีเทศะ ทำดีกับผู้ที่ดีจะได้ดีมากๆ ขึ้นไป ไปทำดี ไปเอางูเห่ามากอดไว้ งูเห่ามันกัดมึงตาย ก็โง่ขนาดนั้น จะทำดียังโง่เนาะ ทำดี แต่ทำกับใครก็ไม่รู้ ไปทำดี ไปบอกโจรมันจะปล้น บอกให้ทำดีๆ มันต้องยิงหัวมึงก่อน

เขาเรียกกาลเทศะใช่ไหม บุคคลใช่ไหม ทำดีมันก็ต้องรู้จัก เด็กๆ มันจะเล่นก็เออ! มันเล่น แล้วผู้ใหญ่จะไปเล่นกับเด็กได้ไหม เด็ก เวลามีลูกมา ถ้าดุลูก มันงอแงก็ไม่ไหว ถ้าลูกมันเลี้ยงง่ายใช่ไหม โอ้โฮ! เด็กดีเว้ย แล้วก็นอนอย่างนั้นตลอดชีวิตเลยนะ โตมาก็จะนอน ไม่ทำงานเลย...ไม่ดีๆ โตมาก็ต้องทำมาหากินเว้ย แต่ถ้าเด็กมันงอแงก็ไม่ได้ เด็กก็ต้องนอน โอ๋ๆๆ ลูกเลี้ยงง่าย ลูกดีมากๆ เลย แล้วก็จะนอนทั้งชีวิตเลยนะ จะโตมาก็จะนอนกินๆ โอ๋ย! ตายห่า อย่างนี้ไม่ดีแล้ว

ทำดี เห็นไหม ทำดีต้องได้ดี คนทำดีแล้วมันจะมีปัญญา อย่างปฏิบัติเรา ปฏิบัติได้แล้วจะพูดให้เขาฟังไม่ได้ พูดให้เขาฟัง เขาไม่เชื่อ แล้วเขาเหยียบย่ำ เขาพูด เขาเหยียบย่ำ เขาดูถูกเหยียดหยาม เขาเป็นกรรม อยู่ดีๆ เราเอากรรมไปให้เขาทำไม โง่ขนาดนั้นเชียวหรือ

การทำของเราแล้ว จบแล้ว เราจะไปบอกเขาฟังหรือ เขาจะเชื่อมึงหรือ ใครเขาจะเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไปบอกเขา ไปบอกให้เขาด่าไง แล้วมันบอกว่ามันทำดีไง อยู่ดีๆ ไปแหย่ให้เขาด่า แล้วบอกว่ากูทำดี อวดดีไง นี่ดีนะ นี่ดี

ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจนะ ประสาพวกเราวิทยาศาสตร์ ปัญญาชนไง ดีคือดี พูดดีจะไปได้ดีไง

พูดดี ดีจะฆ่ามึง ทีนี้คนไม่ได้คิดตรงนี้ไง ความดีมันก็มีละเอียดมีลึกซึ้งนะ ความดีพื้นๆ ดูสิ เราให้ทานก็ดีแล้ว ดูอย่างหมามา ให้มันกินเลย เจอครั้งที่ ๒ มันกระดิกหางเข้ามาเลย แค่นี้ก็ความดีแล้ว โยนให้หมามันกินเลย พอเจอหน้าครั้งที่ ๒ มันมานะ กระดิกหางเข้ามาแล้ว อาหารกูมาแล้ว อาหารกูมาแล้ว ความดีอย่างนี้ความดีแบบสัตว์

ความดี ดูสิ พ่อแม่ ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐีสิ เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า แต่ลูกชายไม่เชื่อธรรมะ ก็น้อยใจมากว่าตัวเองได้เป็นพระโสดาบัน แล้วยังเป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วย สร้างวัดเชตวัน สร้างวัดให้พระพุทธเจ้า แต่ลูกชายไม่เชื่อ

จ้าง จ้างมันให้ไปอยู่ในเขตวัด พอจ้าง กลับมาก็รับสตางค์ กลับมาก็รับสตางค์ๆ อ้าว! ต่อไปนี้ต้องจำ ให้วันละคำ พระพุทธเจ้าพูดอะไร ให้วันละคำ ถึงเวลาก็มารับสตางค์ รับสตางค์ พอวันนั้นพระพุทธเจ้าเทศน์ เพราะมันจะเอาความไปเอาสตางค์ ถ้าจำไม่ได้ เดี๋ยวไปเบิกสตางค์ไม่ได้ ก็พยายาม พระพุทธเจ้าจะพูดอะไร ทีนี้พอพูด ปิ๊ง! พระโสดาบัน วันนั้นกลับไป พ่อก็รอจ่ายสตางค์ เอ๊! ทำไมวันนี้ลูกชายไม่มาเอาสตางค์

อาย มันไปละอายใจไง พ่อทำให้เราเกิดมา พ่อเลี้ยงร่างกายมาจนป่านนี้ ยังโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดนี้ จนพ่อต้องจ้างไปฟังเทศน์ ฟังเทศน์จนได้ธรรมมานี่ อายพ่อมากๆ เลย

ไอ้พ่อก็จะรอจ่ายสตางค์ไง ไอ้ลูกไม่กล้าเข้าไปเอา มันละอาย เพราะมันเป็นโสดาบันแล้ว แต่ถ้ายังไม่เป็นโสดาบันนะ มันไม่ละอายหรอก มันจะไปเอา ๒ เท่า พ่อต้องจ่าย ๒ เท่า วันนี้ได้มา ๒ คำ

ถ้าเข้าใจเรื่องใจแบบนี้ จะสอนคน มันถึงรู้ว่าคนนี้มันจะฟังไม่ฟัง มันฟังแล้วมันจะได้มากได้น้อย ฟังแค่ศรัทธาความเชื่อก็ดีแล้ว พอมีศรัทธาความเชื่อ มันก็เริ่มค้นคว้าของมัน ภูมิของพระโสดาบัน ความคิดของพระโสดาบัน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ภูมิของพระสกิทาคามี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ภูมิของพระอนาคามี ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ภูมิของพระอรหันต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แม้แต่ภูมิของอริยบุคคลยังไม่เท่ากัน แล้วปุถุชนมันจะแค่ไหน

ปุถุชนคือคนหนาด้วยกิเลส ปุถุชนคือคนหนา คนหนาน่ะ ประสาเรานะ โทษนะ คนหนาคือหน้าด้าน พูดแล้วมันไม่ฟัง มันไม่เชื่อ แล้วคนบาง ปุถุชน กัลยาณปุถุชน แล้วขึ้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล วุฒิภาวะ ภูมิความเห็นของใจมันหลากหลายแตกต่างมหาศาล แล้วถ้าไอ้คนเทศน์นะ ถ้าคิดว่าเทศน์ให้เขาเชื่อ ให้เขาเชื่อมั่น ให้เขาศรัทธากูนะ ไอ้คนพูดบ้า มันบ้า เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะ พระพุทธเจ้ายังโดนด่า พระพุทธเจ้ายังโดนรังแก พระพุทธเจ้า เขายังจ้างคนมาฆ่า

โยม ๓ : คนต้องคิดได้เองนะครับ

หลวงพ่อ : ก็นี่ไง เวลาเราเทศน์ไง เราถึงบอกกูเปลี่ยนแปลงโปรแกรมพวกมึงไง ถ้ากูเปลี่ยนโปรแกรมในหัวใจมึงได้ กูก็เท่ากับเปลี่ยนอุดมคติ ความรู้สึก ความคิด ถ้าเปลี่ยนไม่ได้มันก็ความคิดเดิมๆ ไง ความคิดเดิมๆ ก็ความคิดเก่าๆ ไง แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงได้ปั๊บ มันจะเปลี่ยนแปลงอุดมคติเลยนะ อย่างเช่นเราใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ พอเราเชื่อปั๊บนะ ชีวิตเราจะเปลี่ยนเลย เพราะเราอยากได้ดีแล้ว เราบังคับชีวิตเราแล้ว บังคับชีวิต ถ้าเป็นธรรมดา “ทำตนให้ลำบากเปล่า” แต่ถ้าบังคับชีวิตคือมีศีลไง มีศีลปั๊บ เขาจะไม่ทำอย่างนั้นๆๆ เห็นไหม

แต่ถ้าเราไม่เชื่อนะ “อึ๊ย! อิสรภาพเว้ย เสรีภาพ เสรีภาพ” แหม! เต็มที่เลย “ไปมีศีลเท่ากับลิดรอนเสรีภาพตัวเอง”...วิทยาศาสตร์ โง่เป็นควายเลย แต่มันบอกว่ามันปัญญาชน มันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับกูนะ ควาย ควาย แต่มันไม่รู้ตัวว่าเป็นควายนี่สิ

มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉานโน มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา มนุษย์เปรต มนุษย์สัตว์ ใจมันเป็นไง มนุสสติรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุสสเปโต กายมนุษย์ ใจเป็นเปรต มนุสสเทโว ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นเทวดา

มันไม่รู้หรอกว่าความคิดมันเป็นอยู่แล้ว มันไม่คิด ไปเห็นว่าสัตว์เดรัจฉานคือสัตว์ข้างนอกไง กูเป็นคนๆ มนุสสเปโต กูเป็นคนๆ นี่พระพุทธเจ้าพูดไว้ พระพุทธเจ้าเห็นกายกับใจคนละเรื่องกัน แต่เราไปเห็นแต่นี่ไง คือเป็นวิทยาศาสตร์ไง คือมนุษย์ กูเป็นมนุษย์ต้องเป็นมนุษย์เด็ดขาดไง แต่พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ กายเป็นมนุษย์ แต่ใจมันเป็นสัตว์ กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นเทวดา ถ้าพูดถึงใจเป็นเทวดานะ พ่อแม่มีความสุขมาก เพราะเทวดาเขาคิดอย่างนั้นใช่ไหม เทวดาต้องคิดสิ่งที่ดีๆ สิ เทวดามันคิด ต้องเทวดาสิ

ถ้ามนุสสติรัจฉาโนล่ะมึงเอ๊ย พ่อแม่ปวดหัวฉิบหายเลยล่ะ มันฟาดงวงฟาดงา มันดิ้นของมัน แล้วมันคิดไม่ได้ ใจเป็นอย่างนั้นมันคิดไม่ได้หรอก ความคิดของมัน มันก็ดีดดิ้นไปประสาที่ความคิดมัน

โธ่! เห็นมานะ จริงๆ นะ เราเห็นมานะ เห็นมาเยอะ หลายครอบครัวน่ะ มันมีปัญหากันไปหมด แล้วเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ พ่อแม่เลี้ยงได้แต่กาย ดูสิ มีลูกมา โอ๋แล้วโอ๋อีกนะ ขอให้ลูกมันคิดดีๆ เถิด ถ้ามันคิดดีมันทำดีนะ พ่อแม่อย่างไรก็สุขใจแล้ว สุขใจนะ แล้วถ้าพูดถึงมันเป็นประสามัน มันดิ้นตามมันน่ะ พ่อแม่ก็ทุกข์ใจนะ ไม่ทุกข์ธรรมดา มันไปสร้างเรื่องข้างนอก ต้องตามแก้มันอีก โอ้โฮ! ปวดหัวฉิบหายเลย มันผูกพันด้วยกฎหมาย กฎหมายมันบังคับไว้ต้องเป็นอย่างนั้น

พอดูสังคมโลกแล้วดูคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็มาคิดตาม โอ้โฮ! แล้วอย่างนี้นะ นี่วิบากคือผล ไอ้นี่เป็นวิบากแล้ว มันเป็นอย่างนี้ มันมาจากไหน มันมาจากอดีต กรรมเก่า แล้วกรรมปัจจุบันที่เทศน์อยู่นี่ ที่ภาวนาอยู่นี่ นี่ก็มีกรรมเก่ามา กรรมเก่า กรรมดีกรรมชั่ว กรรมเก่าสร้างมาให้เป็นมนุษย์ แล้วพอบวชก็เป็นพระ ไม่บวชก็เป็นคฤหัสถ์ แล้วมนุษย์นี่จะไปทำอะไร จะเอาร่างกายไปทำอะไร แล้วจะเอาหัวใจนี้ทำอะไร ถ้าทำได้มันก็ดีไป ถ้าทำไม่ได้มันก็ถูไถไป

พอทำได้ขึ้นมาแล้ว ประสาเราเลยนะ เปิดโลกหมดเลย วัฏฏะ เปิดโลกหมด ตั้งแต่นรกอเวจีจนพรหม เปิดโลกหมด เพราะมันต้องรู้หมด ถ้าไม่รู้หมด มีความสงสัย สิ้นกิเลสไม่ได้ ถ้าสงสัยนรก สงสัยไปหมดน่ะ สงสัยนั่นคือนิวรณ์ หัวใจมันจะรู้ไม่ได้ อย่างนั้นถ้ามันจะรู้ได้ มันรู้แจ้งปั๊บ ต้องสงสัยไม่มี ถ้าไม่สงสัยในวัฏฏะ ไม่สงสัยหมดเลย แล้วทำไมจะไม่รู้แจ้งล่ะ

โยม ๒ : อย่างหลวงพ่อนี่รู้แจ้ง ต่างกันแล้ว ต่างกันแล้ว

หลวงพ่อ : ไอ้นี่ขุดบ่อล่อปลา ขุดบ่อล่อปลาจะให้ปลาออก

นั่นน่ะ พอมันรู้แจ้ง เพราะเราจะพูดว่าเวลาพูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างๆ แล้วทำไมถึงผู้รู้ได้ เพราะมันรู้อย่างนี้ไง มันรู้มันเห็นไง เราถึงบอกว่าจิตนี้เหมือนรถเมล์ รถเมล์จะจอดป้ายไหน รถเมล์มันจอดบนพรหม จอดเทวดา จอดนรกอเวจี รถเมล์มันจอด รถเมล์มันจอดคือมันเกิด

นรกสวรรค์ เขานึกว่าสูงส่งมาก กูบอกป้ายรถเมล์ไง รถเมล์จอดป้ายเทวดา รถเมล์จอดป้ายพรหม รถเมล์จอดป้ายมนุษย์ รถเมล์จอดป้ายนรกอเวจี รถเมล์ไปจอดคือจิตมันเป็นไป รถเมล์มันก็วิ่งรอบกรุงเทพฯ ไอ้จิตนี้ก็วิ่งรอบวัฏฏะ มันไปเกิดที่ไหนล่ะ แล้วรถเมล์ ใครพามันไป พลังงาน น้ำมัน ไอ้นี่ก็กรรม ดันไป กรรมดีกรรมชั่วมึงดันไป มึงไม่ต้องปฏิเสธหรือยอมรับหรอก มึงนั่งเฉยๆ มันดันไปเอง

โยม ๓ : หลวงพ่อครับ แล้วอย่างคนที่เขาผูกพันกันด้วยกรรมแล้วเขาจะอโหสิกรรมกันนี่มันอย่างไร

หลวงพ่อ : ได้

โยม ๓ : ก็คือสมมุติว่าเราไปเจอเพื่อนที่ไม่ดี แล้วเรารู้สึกว่าชีวิตเราก็คือเราไม่โกรธแค้นแล้วเราจะอโหสิกรรม

หลวงพ่อ : อโหสิกรรม อโหสิกรรมให้เขาไป คือเขาเรียกว่าอภัยทานนี่มันสูงสุดไง อโหสิกรรม มันมี ในพระไตรปิฎก มี อย่างเช่นพระพุทธเจ้ากับชูชก พระพุทธเจ้ากับชูชกอาฆาตกันมาตั้งแต่ตอนที่อธิษฐานไง ชูชกกำทรายเลย แล้วก็เกิดมาทุกชาติ ผลัดกันมา

แล้วในพระไตรปิฎกมันมีอยู่ ๒ พ่อค้าผลัดกันฆ่าคนละชาติๆ แล้วชาตินั้นชาติสุดท้ายจะฆ่ากัน พระพุทธเจ้ามาเลย เพื่อนพ่อค้าจะฆ่าพ่อค้าอีกคนหนึ่ง พระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว ก็มาด้วยฤทธิ์ มาถึงบอกหยุดๆๆ อย่าทำ

แล้วปลุกเพื่อนขึ้นมาเลย พอปลุกเพื่อนขึ้นมาก็เทศน์เลย เมื่อชาติที่แล้วคนนี้หลับ ฆ่าคนนี้มาก่อน แล้วชาตินี้ไอ้คนนี้ก็จะมานอนหลับ แล้วไอ้คนนี้ก็จะฆ่าเพื่อนอย่างนี้ แล้วชาติต่อไปนะ ไอ้คนฆ่าก็จะไปหลับ ไอ้คนนี้ก็จะไปฆ่าต่อไป มันฆ่าอย่างนี้เป็นพันๆ ชาติ พระพุทธเจ้าถึงบอกให้อโหสิกรรมต่อกัน คือปลุกขึ้นมาแล้วเทศน์ก่อน เทศน์ให้ทุกคนเปิดหัวใจก่อน เพราะไอ้สิ่งที่ฝังในใจมันเป็นข้อมูล เป็นกรรมที่ผลักดัน พอเทศน์มาให้เปิดข้อมูลนี้ปั๊บ เพราะเพื่อนมันก็ต่างคนต่างเปิด แล้วให้อโหสิกรรมต่อกัน อโหสิกรรมต่อกันก็ยกเลิกกันไป จบ

โยม ๑ : อย่างนี้เราต้องตามไปอโหสิกรรม

หลวงพ่อ : ไม่ เพราะไอ้พันๆ ชาติก็คือนี่ไง รถเมล์ไง ไอ้พันๆ ชาติก็มาจากรถเมล์คันนี้ไง คือมาจากจิตดวงนี้ไง

โยม ๑ : ถ้าจิตเราปล่อยออกแล้ว

หลวงพ่อ : เออ! เพราะมันต้องอโหสิกรรมต่อกัน ปล่อยต่อกัน โอ๋ย! คู่สร้างคู่สมเขาอธิษฐานให้เกิดร่วมกันก็มีนะ เขาอธิษฐานไม่ให้เกิดก็มีนะ คู่เวรคู่กรรม คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรมนะ มีปัญหาตลอดเลย ถ้าวันไหนนะ เฮ้อ! หมดเวรหมดกรรมนะ ถ้าไม่เฮ้อ! คู่เวรคู่กรรม ขนาดไหนก็อยู่กันอย่างนั้นน่ะ คู่สร้างคู่สม โอ้โฮ! มันจะส่งเสริมกัน คู่ทุกข์คู่ยาก แล้วมันมีมาไง

มันมีในธรรมบทที่เขามาอ่าน บอกว่า พระองค์หนึ่งลาพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ แล้วมีแม่ชีองค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์ แล้วเขารู้ว่าพระไป เขาจะรู้วาระจิตหมด พระองค์นั้นก็อยากมา พอมา ไปถามเขา เขาอาย กลับเลย พระพุทธเจ้าบังคับให้มา พอบังคับให้มา พอมาถึงปั๊บ แม่ชี นึกอะไรเขารู้หมด อยากกินอะไร เขาจะเอามาให้หมดเลย เขาพิจารณาไปเรื่อย นึกอะไรเขาก็สอนมา พอถึงเป็นพระอรหันต์เลย จบ

ก็กำหนดจิตดูว่าชีคนนี้มีคุณกับเรามากเลย ทำไมเขามีคุณกับเรามากขนาดนี้ นึกถึงคุณเขา ก็อยู่ดีๆ เขามากล่อมใจ เขามาให้อาหารทางกาย อาหารทางปาก อาหารทางใจจนเป็นพระอรหันต์ ก็กำหนดดูว่าแม่ชีคนนี้เขาเป็นอะไรกับเรา เขามีคุณกับเราขนาดนี้ พอกำหนดไปๆ กำหนดไปทีไรเสียใจทุกทีเลยนะ เพราะโดนแม่ชีนี้ฆ่ามา ๙๙ ชาติ เสียใจมาก ทำไมแม่ชีคนนี้มีคุณกับเรา

แม่ชีรู้วาระจิตเหมือนกัน บอก สมณะ สมณะขอให้ย้อนไปอีกชาติหนึ่ง

พอย้อนไปชาติที่ ๑๐๐ ไอ้พระองค์นี้ฆ่าแม่ชี

๙๙ ชาตินั่นน่ะโดนแม่ชีฆ่าเพราะฆ่าเขามา เขามาฆ่ากลับ ๙๙ ชาติ แล้วชาติสุดท้ายมาเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่

ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ กรรมของสัตว์ แต่นี่อยู่ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบังคับให้มาไง พระองค์นั้น เขาร่ำลือว่าแม่ชีองค์นี้เก่งมาก รู้วาระจิตมาก ทีแรกมีพระไปสอนก่อน แม่ชีนี้ก็แบบอุปัฏฐากพระนี่แหละ อุปัฏฐากไปแล้วไปรู้วาระจิตไง พอนึก โอ๋ย! พระองค์นี้อยากกินสเต๊ก เช้า สเต๊กมาแล้ว พระองค์นี้อยากกินอะไร เอามา จนพระอาย แล้วพระร่ำลือกันไปทั่วไง พระองค์นั้นอยากลองก็เลยมา

พอมาถึงปั๊บ เขาว่าแม่ชีนี้รู้วาระจิตหรือ พอคิดอย่างนั้นน่ะ มาเลย พอรู้ มาเลย ก็เสียใจ เสียใจก็อายด้วย ก็กลับ พระพุทธเจ้าบังคับให้มา พอมา ทีนี้พอสงสัยอะไร แม่ชีก็จะสอนมาในจิตเลย สอนๆๆ จนเป็นพระอรหันต์เลย ก็เห็นคุณน่ะ เห็นคุณว่าเราสำเร็จเพราะแม่ชีองค์นี้ เห็นคุณเขามาก เขามีคุณอะไรกับเรานะ พอกำหนดไปดู โดนเขาฆ่ามา ๙๙ ชาติ เสียใจมาก เสียใจมาก แต่แม่ชีนั้นรู้ไง ก็บอกว่าให้ย้อนไปอีกชาติหนึ่ง พอชาติที่ ๑๐๐ มันพลิกกลับเลย เพราะพระฆ่าแม่ชี

โยม ๓ : หลวงพ่อครับ อย่างนี้เวลาเห็นชาติภพ จริงๆ แล้วมันเห็นแค่แว็บเดียว มันสั้นมากเลยนะฮะในชั่วชีวิต คือเวลาเราเห็นในจิตนี่ จริงๆ แล้วเวลาของมนุษย์จริงๆ ก็สั้นมากเลย

หลวงพ่อ : แล้วดูแมลงวันสิ ๗ วัน แมลงวัน ๗ วันมันตายแล้ว มันว่าอายุมันยืนนะ ๗ วันนี่ อู้ฮู! อายุตั้ง ๗ วันน่ะ ไอ้เราก็เหมือนกัน นึกว่า ๑๐๐ ปี นึกว่ายาว เพราะอะไร เพราะ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเทวดาวันเดียว ชีวิตเราเท่ากับเทวดา ๙ ล้านปี แล้วคิดดูสิ เวลาเราตกไปแต่ละภพมันจะหมุนไปอย่างนี้ เราจะบอก เกิดมาแล้วเป็นคู่สร้างคู่สม เกิดขอให้เกิดพบกันชาติหน้านะ

เมียไปเกิดเป็นเทวดาเนาะ ไอ้ผัวไปเกิดเป็นแมลงวัน แมลงวันมัน ๗ วันใช่ไหม ๗ วันมันเกิดแล้ว ไอ้นั่น ๙ ล้านปี มันเจอกันไหม แล้วอธิษฐานว่าขอให้เกิดพบกันทุกภพทุกชาติ แล้วไม่รู้ชาติใคร มันก็เวียนไป

โยม ๓ : เอ๊ะ! หลวงพ่อ อย่างนี้เป็นเทวดาก็ไม่ดีสิครับ อย่างนี้ก็เลยยุคพระพุทธเจ้ามาทุกพระองค์น่ะสิครับ

หลวงพ่อ : เลย เลย เขาถึงไม่อยากไป ถ้านักปฏิบัติแล้วเขาไม่เอาหรอก มนุษย์นี้สำคัญ มนุษย์นี้มันทำได้เรื่อยๆ

โยม ๓ : ก็คือถ้าเป็นเทวดาก็หลุดไปเลย

หลวงพ่อ : อันนี้มนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ได้ไง

โยม ๓ : ยอมเกิดเป็นมนุษย์ดีกว่า

หลวงพ่อ : มนุษย์ดีกว่า

โยม ๑ : มนุษย์ยังได้ทำอะไรได้บ้าง เทวดาอยู่เฉยๆ

หลวงพ่อ : เขาไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ ทุกคนอยากเป็นเทวดา เทวดามันเหมือนกับพักยก ขึ้นไปเสวยสุขไง ก็ไปอยู่อย่างนั้นน่ะ มันติด แล้วอย่างพวกเรานี่ทุกข์มากเลย เพราะเราต้องหาอยู่หากิน เทวดาอิ่มบุญ พอหมดอายุขัยมันก็ตาย

ก็เหมือนเราไปอยู่เฉยๆ ไปพัก มันสุขของเทวดานะ สุขเขาอิ่มทิพย์นะ แต่จริงๆ ทุกข์ จริงๆ ทุกข์นะ เทวดานี่ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย เรามีกิน เรามีใช้ แต่คุมใจได้ไหม อ้าว! ลองคิดดูสิ คุมใจได้ไหม อยู่บ้านมีเงินมีทองใช้สบายเลย แต่ทุกข์ไหม? ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่าเทวดาสุขๆ มันไปพูดถึงเรื่องภพไง แต่จริงๆ น่ะทุกข์ ไม่มีอะไรไม่สุขหรอก พรหมก็ทุกข์

จบแล้ว